ภาพขณะสตาร์ชิพทะยานขึ้นด้วยการเครื่องยนต์แรพเตอร์ 33 เครื่องยนต์ (credit : www.space.com)

อวกาศยานสตาร์ชิพ (Starship) ของบริษัทสเปซเอ็กซ์ (SpaceX) ประสบความสำเร็จในการบินขึ้นสู่อวกาศในเที่ยวบินทดสอบและจบด้วยการระเบิดและขาดการติดต่อในที่สุด ซึ่งในครั้งนี้เป็นการทดสอบการแยกตัวของส่วนบูสเตอร์ (Booster) ภายหลังการยกตัว (Liftoff) ไม่นาน

เที่ยวบินทดสอบครั้งนี้เป็นครั้งที่สอง โดยอวกาศยานสตาร์ชิพ หรือเรียกได้ว่าเป็น Super Heavy Vehicle ได้ออกเดินทางโดยการยกตัวจากท่าอวกาศยานทดสอบ Starbase Test Site เมือง Boca Chica มลรัฐเท็กซัส สหรัฐอเมริกา เมื่อวันเสาร์ที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ.2566 เวลา 08.30 (ตามเวลาท้องถิ่น) ซึ่งการยกตัวครั้งนี้มีความล่าช้าเนื่องมาจากเกิดสภาพความดันในส่วนบน (Upper Stage) ของสตาร์ชิพไม่เป็นไปตามกำหนดซึ่งบริษัทสเปซเอ็กซ์ไม่ได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมในรายละเอียดดังกล่าว

ขณะทะยานขึ้นส่วนบูสเตอร์ (Booster) ของสตาร์ชิพ ซึ่งทำหน้าที่ขับเคลื่อน ได้ทำงานปกติโดยไม่มีความผิดปกติของเครื่องยนต์แรพเตอร์ (Raptor) โดยต่างจากการทดสอบบินครั้งแรกเมื่อเดือนเมษายนที่เครื่องยนต์แรพเตอร์ดับขณะทำการบิน

หลังจากนั้นอวกาศยานส่วนบนของสตาร์ชิพจากได้จุดระเบิดเครื่องยนต์ทั้งหกตัวและแยกตัวออกจากชุดบูสเตอร์ประมาณ 2 นาที 45 วินาทีหลังจากการยกตัวขึ้น อันเป็นการทดสอบส่วนร้อนหรือ Hot Staging อันเป็นการทดสอบการจุดระเบิดเครื่องยนต์ก่อนดำเนินการการแยกตัวออกสำหรับการปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงานต่อไป

ขั้นตอนต่อไปคือส่วนบูสเตอร์เคลื่อนที่ในลักษณะ Boostback สำหรับตกลงในอ่าวเม็กซิโก หลังจากยกตัวประมาณ 3 นาที 30 วินาที แต่ชุดบูสเตอร์ได้แตกออกซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่สเปซเอ็กซ์เรียกว่าการแยกส่วนซึ่งไม่ได้กำหนดไว้ล่วงหน้าอย่างรวดเร็ว (Rapid Unscheduled Disassembly) โดยสาเหตุของการแตกออกนั้นยังไม่มีความชัดเจนในทันที แม้ว่าผู้ดำเนินรายการของสเปซเอ็กซ์ในการถ่ายทอดสดได้กล่าวว่าวัตถุประสงค์การบินทดสอบครั้งนี้เป็นเพื่อการทดสอบชุดบูสเตอร์สามารถทนต่อความเครียด (Stress) ของโครงสร้างที่มาจากส่วนร้อนได้อย่างไร

สำหรับส่วนบนหรือส่วนอวกาศยานสตาร์ชิพยังบินขึ้นตามความสูงที่เพิ่ม ด้วยขั้นตอนการดับเครื่องยนต์หลังการยกตัวแปดนาทีครึ่ง อย่างไรก็ตามเมื่อเข้าใกล้ช่วงสุดท้าย การเผาไหม้ในเครื่องยนต์ เกิดการขัดข้องสำหรับการติดต่อกับอวกาศยานโดยส่วนภาคพื้นไม่ได้รับข้อมูล Teletmetry จากอวกาศยานซึ่งในช่วงนั้นอวกาศยานสตาร์ชิพอยู่ที่ความสูง 148 กิโลเมตรเหนือพื้นโลก และมีความเร็วมากกว่า 24,000 กิโลเมตรต่อชั่วโมง อันเป็นความเร็วใกล้เคียงกับความเร็ว Orbital Velocity อย่างไรก็ตามเจ้าหน้าที่บริษัทสเปซเอ็กซ์ได้ให้ข้อมูลว่าการจุดระเบิดของเครื่องยนต์ยังเกิดความล่าช้าซึ่งต้องปรับปรุงต่อไป

ตามแผนการทดสอบอวกาศยานต้องเดินทางรอบโลกหนึ่งรอบและไม่ได้เคลื่อนที่ขึ้นสูงไปยังวงโคจรรอบโลก โดยจะเดินทางรอบโลกและตกลงในมหาสมุทรแปซิฟิกใกล้ฮาวายโดยใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมงครึ่งหลังจากยกตัว

ผลการจากการบินทดสองครั้งนี้พบว่ามีความก้าวหน้าอย่างมากเมื่อเทียบกับการบินทดสอบครั้งแรกเมื่อเดือนเมษายน ซึ่งในครั้งนั้นอวกาศยานได้ทำการเคลื่อนที่ขึ้นไปเพียงสี่นาทีหลังจากการยกตัว เมื่อระบบยุติการบิน (Flight Termination System) ได้หยุดการทำงานของเครื่องยนต์ทำให้อวกาศยานหมุนตัวอย่างไร้ทิศทาง (Tumble) โดยเหตุการณ์นี้มีสาเหตุมาจากเครื่องยนต์หลายเครื่องของส่วนบูสเตอร์ทำงานผิดพลาดขณะทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าสร้างความเสียหายให้กับอวกาศยานทั้งลำ ทั้งนี้อิลอน มัสก์ (Elon Musk) ซีอีโอของบริษัทสเปซเอ็กซ์ กล่าวว่าเป็นส่วนบูสเตอร์ใช้เครื่องยนต์เก่าที่ผสมผสานกัน


อิลอน มัสก์ยังได้กล่าวในเดือนมิถุนายนเกี่ยวกับบริษัทได้มีการเปลี่ยนแปลงอวกาศยานหลายด้านจากการบินทดสอบครั้งแรก นอกจากการแก้ไขปัญหาที่ทำให้การบินครั้งแรกเกิดความผิดพลาดแล้ว การเปลี่ยนแปลงสำคัญที่สุดสำหรับภารกิจนี้คือการเปลี่ยนไปใช้วิธีการ Hot Staging

การปรับปรุงอีกด้านหนึ่งคือการปรับโครงสร้างพื้นฐานของสถานีภาคพื้นซึ่งได้รับความเสียหายจากไอแก็ส (Exhaust) ที่พุ่งออกจากเครื่องยนต์แรพเตอร์ ส่งผลให้มีเศษขนาดเล็กกระจายไปประมาณ 10 กิโลเมตรจากแพด (Pad) การนำส่ง โดยบริษัทได้ติดตั้งระบบ Water Deluge System เพื่อป้องกันความเสียหายพื้นคอนกรีตของแพดจากเศษขนาดเล็ก แต่ระบบนี้ต้องมีการรับรองด้านสิ่งแวดล้อมจากหน่วยงาน Fish and Wildlife Service ของสหรัฐอเมริกา อันทำให้เกิดความล่าช้าต่อการรับใบอนุญาตการบินทดสอบ จากองค์การบริหารการบินแห่งชาติ (Federal Aviation Administration) ออกไปจนวันที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ.2566  

อวกาศยานสตาร์ชิพมีความสำคัญต่อบริษัทสเปซเอ็กซ์และองค์การนาซา เนื่องจากอวกาศยานประเภทนี้จะสามารถขนส่งดาวเทียมขนาดใหญ่ คือ Starlink V2  โดยปัจจุบันบริษัทได้นำส่งดาวเทียม Starlink ขนาดเล็กด้วยจรวดนำส่งฟอลคอน 9 (Falcon 9) แต่ดาวเทียม Starlink V2 ได้รับการออกแบบสำหรับอวกาศยานสตาร์ชิพ

บริษัทสเปซเอ็กซ์ได้รับการงบประมาณมูลค่าสี่พันล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐจากองค์การนาซาสำหรับการพัฒนาอวกาศยานลงจอดบนดวงจันทร์ให้กับโครงการสำรวจดวงจันทร์อาร์ติมิส (Artemis Lunar Exploration Campaign) รวมถึงอวกาศยานลงจอดบนดวงจันทร์สำหรับนำนักอวกาศไปด้วยในโครงการอาร์ติมิส 3 และ อาร์ติมิส 4  

เรียบเรียง : พนม อินทรัศมี

วันจันทร์ ที่ 11 กันยายน 2566

ที่มาของข่าวและภาพ :

– https://spacenews.com/starship-super-heavy-lifts-off-on-second-flight/

– https://www.spacex.com/launches/mission/?missionId=starship-flight-2

– https://www.space.com/spacex-starship-second-launch-test-amazing-photos –

ที่มาของภาพ :

– https://www.spacex.com/launches/mission/?missionId=starship-flight-2

ขอขอบคุณมา ณ ที่นี้

Previous articleSpaceX ยิงนำส่งดาวเทียม O3b mPower
Next articleกองทัพอวกาศจัดการประชุม Spacepower Conference

LEAVE A REPLY

Please enter your comment!
Please enter your name here